Sub Domain คืออะไร? | วิธีสร้างและใช้งาน Subdomain Subdomain คืออะไร? Domain และ Sub Domain ต่างกันอย่างไร? SEO?
ถ้าคุณเคยเห็นเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเช่น news.kapook.com หรือ careers.primal.co.th นั่นคือตัวอย่างของ โดเมนย่อย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโดเมนหลักที่ใช้เพื่อจัดระเบียบเนื้อหาและแยกส่วนการทำงานให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โครงสร้างของ โดเมนย่อย จะมีลักษณะเป็น “ชื่อย่อย.โดเมนหลัก.นามสกุล” เช่น demo.zixzax.net โดยที่ demo คือชื่อย่อย และ zixzax.net คือโดเมนหลัก
ความแตกต่างระหว่างโดเมนหลักและโดเมนย่อยคือ โดเมนหลักเป็นชื่อหลักของเว็บไซต์ ในขณะที่โดเมนย่อยถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะด้าน เช่น แบ่งหมวดหมู่ข่าวหรือการรับสมัครงาน
การใช้งาน โดเมนย่อย ช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถจัดการเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น โดยอาจใช้เซิร์ฟเวอร์แยกจากเว็บไซต์หลักได้ ในส่วนต่อไปเราจะพูดถึงวิธีการสร้างโดเมนย่อยอย่างละเอียด
ประเด็นสำคัญ
- โดเมนย่อยคือส่วนย่อยของโดเมนหลัก
- โครงสร้าง: “ชื่อย่อย.โดเมนหลัก.นามสกุล”
- ใช้เพื่อจัดระเบียบเนื้อหาและแยกส่วนการทำงาน
- ตัวอย่าง: news.kapook.com, careers.primal.co.th
- ช่วยให้จัดการเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
sub domain คืออะไร?
คุณอาจสังเกตเห็นว่าเว็บไซต์บางแห่งมีส่วนย่อยที่แยกออกมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ส่วนย่อยเหล่านี้ช่วยให้จัดการเนื้อหาและหน้าที่การทำงานได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
โครงสร้างของส่วนย่อยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ชื่อย่อย, ชื่อหลัก, และนามสกุลโดเมน เช่น rider.uber.com ที่ใช้สำหรับผู้ใช้บริการของ Uber
DNS (Domain Name System) มีบทบาทสำคัญในการชี้ส่วนย่อยไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่กำหนด ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว
ความหมายและโครงสร้างของโดเมนย่อย
ส่วนย่อยของเว็บไซต์เป็นเครื่องมือที่ช่วยแบ่งเนื้อหาและหน้าที่การทำงานได้อย่างชัดเจน เช่น news.kapook.com ที่ใช้สำหรับข่าวสารโดยเฉพาะ
การตั้งชื่อส่วนย่อยควรสื่อความหมายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เช่น shop.example.com สำหรับร้านค้าออนไลน์
ตัวอย่างการใช้งานในเว็บไซต์จริง
เว็บไซต์ขนาดใหญ่มักใช้ส่วนย่อยเพื่อแยกส่วนการทำงาน เช่น rider.uber.com สำหรับผู้ใช้บริการ และ news.kapook.com สำหรับข่าวสาร
การใช้งานส่วนย่อยช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถจัดการเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ประโยชน์ของการใช้ Subdomain
การใช้ส่วนย่อยของเว็บไซต์มีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้คุณจัดการเนื้อหาและระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแยกส่วนการทำงานหรือการรองรับผู้ใช้จากหลากหลายภูมิภาค

จัดระเบียบเนื้อหาเว็บไซต์ให้ชัดเจน
หนึ่งในประโยชน์ของ subdomainคือการช่วยจัดระเบียบเนื้อหาให้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน เช่น การใช้ careers.primal.co.th สำหรับรับสมัครงานแยกส่วน ทำให้ผู้ใช้โฟกัสกับเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ การแยกส่วนต่าง ๆ เช่น ระบบชำระเงินหรือระบบทดสอบเว็บไซต์บนโฮสต์จริง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน
เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการ
การใช้ส่วนย่อยช่วยให้ทีมงานสามารถจัดการระบบต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ เช่น การใช้ CMS ต่างระบบกันระหว่างส่วนหลักและส่วนย่อย ทำให้การอัปเดตหรือแก้ไขทำได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์การศึกษาอาจใช้ learn.example.com สำหรับคอร์สออนไลน์ โดยแยกการจัดการเซสชันผู้ใช้จากส่วนหลักของเว็บไซต์
เหมาะสำหรับเว็บไซต์หลายภาษา
หากคุณมีเว็บไซต์หลายภาษา การใช้ส่วนย่อยช่วยให้รองรับผู้ใช้จากหลากหลายภูมิภาคได้ดีขึ้น เช่น การสร้าง en.example.com สำหรับภาษาอังกฤษ และ th.example.com สำหรับภาษาไทย
นอกจากนี้ การแยกส่วนยังช่วยให้การจัดการเนื้อหาและการปรับแต่งสำหรับแต่ละภาษาทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีสร้าง Subdomain แบบขั้นตอน
การสร้างส่วนย่อยของเว็บไซต์เป็นกระบวนการที่ช่วยให้คุณจัดการเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการแยกส่วนการทำงานหรือการรองรับผู้ใช้จากหลากหลายภูมิภาค
การตั้งค่าผ่าน cPanel หรือ DirectAdmin
ขั้นตอนแรกในการสร้าง subdomain cPanelคือการเข้าสู่ระบบ cPanel หรือ DirectAdmin ของคุณ จากนั้นไปที่ส่วน Domain Manager และเลือก Create Subdomain
คุณจะต้องกรอกชื่อส่วนย่อยที่ต้องการ เช่น “shop” หรือ “blog” และเลือกโดเมนหลักที่ต้องการเชื่อมต่อ ระบบจะสร้างส่วนย่อยให้คุณโดยอัตโนมัติ
การเชื่อมต่อกับโฮสติ้งและ DNS
หลังจากสร้างส่วนย่อยแล้ว คุณต้องตั้งค่า DNSเพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์โฮสติ้ง โดยทั่วไปคุณจะใช้ A Record หรือ CNAME เพื่อชี้ส่วนย่อยไปยัง IP Address หรือโดเมนอื่น
การตั้งค่านี้อาจใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมงในการ propagate คุณสามารถทดสอบการทำงานด้วยคำสั่ง ping หรือ nslookup เพื่อตรวจสอบสถานะ
ข้อควรระวังในการตั้งชื่อส่วนย่อย
เมื่อตั้งชื่อส่วนย่อย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อที่ยาวเกินไปหรือมีสัญลักษณ์พิเศษ เช่น เครื่องหมายขีดกลางหรือจุด เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาการเข้าถึง
นอกจากนี้ ควรระวังการตั้งค่า wildcard (*.domain.com) เพราะอาจเปิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยหากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม
| ขั้นตอน | รายละเอียด |
|---|---|
| เข้าสู่ cPanel/DirectAdmin | ใช้ Domain Manager เพื่อสร้างส่วนย่อย |
| ตั้งค่า DNS | ใช้ A Record หรือ CNAME เพื่อเชื่อมต่อ |
| ทดสอบการทำงาน | ใช้คำสั่ง ping หรือ nslookup |
Subdomain กับ SEO: ผลกระทบที่คุณต้องรู้
การใช้งานส่วนย่อยของเว็บไซต์ไม่เพียงช่วยในการจัดการเนื้อหา แต่ยังส่งผลต่อการทำ SEO ในหลายด้าน ทั้งในแง่บวกและลบที่คุณควรพิจารณา

Domain Authority (DA) และการแบ่งคะแนน
เมื่อคุณใช้ส่วนย่อย Domain Authority ของโดเมนหลักอาจถูกแบ่งออกไป ซึ่งส่งผลต่อการจัดอันดับโดยรวมของเว็บไซต์
การศึกษาของ Rand Fishkin จาก Moz แนะนำให้ใช้ subdirectory แทนส่วนย่อยหากคุณต้องการรักษาคะแนน Domain Authority ให้อยู่ในระดับสูง
ข้อดีและข้อเสียเชิง SEO
การใช้ส่วนย่อยมีข้อดีเช่น ช่วยแยกเนื้อหาเฉพาะทางและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO เชิงท้องถิ่น แต่ก็มีข้อเสียเช่น ปัญหา duplicate content และการแบ่งคะแนน backlink
คุณสามารถใช้ Google Search Console เพื่อติดตามผลการทำงานของแต่ละส่วนย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| ข้อดี | ข้อเสีย |
|---|---|
| แยกเนื้อหาเฉพาะทาง | แบ่งคะแนน Domain Authority |
| เพิ่มประสิทธิภาพ SEO เชิงท้องถิ่น | ปัญหา duplicate content |
| จัดการ backlink ได้ง่ายขึ้น | ต้องติดตามผลแยกส่วน |
สรุปแล้ว การใช้ส่วนย่อยของเว็บไซต์มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คุณต้องพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจใช้งาน
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของโดเมนย่อย
การใช้งานส่วนย่อยของเว็บไซต์อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่คุณต้องระวัง แม้ว่าจะช่วยจัดการเนื้อหาได้ดี แต่หากไม่ตั้งค่าอย่างถูกต้อง อาจเป็นช่องโหว่ให้แฮกเกอร์โจมตีได้
Subdomain Takeover คืออะไร?
Subdomain Takeover เป็นการโจมตีที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์จากส่วนย่อยที่ไม่ได้ใช้งานหรือตั้งค่าไม่ถูกต้อง เช่น การใช้ CNAME ที่ชี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่มีอยู่จริง
ตัวอย่างเช่น กรณีของ Uber ที่โดเมน rider.uber.com ถูกปลอมแปลงเพื่อนำผู้ใช้ไปยังหน้า phishing ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมาก
“การโจมตีแบบ Subdomain Takeover มักเกิดขึ้นเมื่อส่วนย่อยไม่ได้ถูกใช้งานหรือตั้งค่า DNS อย่างไม่ปลอดภัย”
วิธีป้องกันการโจมตีโดยแฮกเกอร์
เพื่อป้องกัน Subdomain Takeover คุณควรตรวจสอบ DNS records เป็นประจำและลบ CNAME ที่ไม่จำเป็นออก นอกจากนี้ การตั้งค่า SSL แยกสำหรับแต่ละส่วนย่อยก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้
- ใช้ tools สแกนเช่น Sublist3r หรือ Amass เพื่อตรวจสอบส่วนย่อยที่อาจเป็นช่องโหว่
- หลีกเลี่ยงการใช้ wildcard DNS (*.example.com) เพราะอาจเปิดช่องโหว่ให้แฮกเกอร์
- ติดตั้งบริการตรวจสอบความปลอดภัยแบบ real-time เพื่อแจ้งเตือนเมื่อพบกิจกรรมที่น่าสงสัย
| วิธีการป้องกัน | รายละเอียด |
|---|---|
| ตรวจสอบ DNS records | ลบ CNAME ที่ไม่จำเป็นและตรวจสอบเป็นประจำ |
| ตั้งค่า SSL แยก | เพิ่มความปลอดภัยสำหรับแต่ละส่วนย่อย |
| ใช้ tools สแกน | เช่น Sublist3r หรือ Amass เพื่อหาช่องโหว่ |
การป้องกัน ความปลอดภัยโดเมนย่อย เป็นเรื่องสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม เพราะอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของเว็บไซต์โดยรวม
เมื่อไหร่ควรใช้ Subdomain หรือ Subdirectory?
การตัดสินใจระหว่างส่วนย่อยและไดเรกทอรีควรพิจารณาจากวัตถุประสงค์หลักของเว็บไซต์ การเลือกที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณจัดการเนื้อหาและระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เปรียบเทียบความเหมาะสมตามวัตถุประสงค์
การใช้ส่วนย่อยเหมาะสำหรับการแยกส่วนการทำงานที่ชัดเจน เช่น การสร้างเว็บไซต์สำหรับบริษัทที่ต้องการแยกประวัติบริษัทออกมาเป็น about.example.com
ในทางกลับกัน ไดเรกทอรีเหมาะสำหรับการจัดระเบียบเนื้อหาในเว็บไซต์หลัก เช่น เว็บข่าวที่ใช้ example.com/news เพื่อแยกหมวดหมู่ข่าว
กรณีศึกษา: เว็บไซต์ข่าว vs. เว็บไซต์บริษัท
เว็บไซต์ข่าวมักใช้ไดเรกทอรีเพื่อจัดระเบียบเนื้อหา เช่น example.com/news ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว
ส่วนเว็บไซต์บริษัทอาจใช้ส่วนย่อยเพื่อแยกส่วนการทำงาน เช่น careers.example.com สำหรับรับสมัครงาน หรือ about.example.com สำหรับประวัติบริษัท
- การบำรุงรักษาและค่าใช้จ่าย: ส่วนย่อยอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเนื่องจากต้องใช้เซิร์ฟเวอร์แยก
- Bandwidth และทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์: ไดเรกทอรีใช้ทรัพยากรร่วมกับเว็บไซต์หลัก ทำให้ประหยัดกว่า
- ผลกระทบต่อผู้ใช้: ส่วนย่อยอาจทำให้ผู้ใช้สับสนหากไม่มีการจัดการที่ดี
| ปัจจัย | ส่วนย่อย | ไดเรกทอรี |
|---|---|---|
| ค่าใช้จ่าย | สูงกว่า | ต่ำกว่า |
| การบำรุงรักษา | ซับซ้อนกว่า | ง่ายกว่า |
| ประสิทธิภาพ | แยกส่วนการทำงาน | จัดการเนื้อหาในที่เดียว |
คำแนะนำจาก Google Search Central คือ การใช้ไดเรกทอรีมักดีกว่าในแง่ SEO เพราะช่วยรักษาคะแนน Domain Authority ของเว็บไซต์หลัก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโดเมนย่อย
หลายคนอาจสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานและข้อจำกัดของส่วนย่อยของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นคำถามที่พบได้บ่อยในการจัดการเว็บไซต์
สามารถสร้างส่วนย่อยได้กี่อัน?
โดยทั่วไป โฮสติ้งส่วนใหญ่ให้สร้างส่วนย่อยได้ไม่จำกัดจำนวน อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดทางเทคนิคอาจแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการโฮสติ้งแต่ละราย
ตัวอย่างเช่น บางผู้ให้บริการอาจจำกัดจำนวน IP ที่ใช้ หรืออาจมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการเซิร์ฟเวอร์ ดังนั้นควรตรวจสอบเงื่อนไขของแพ็กเกจโฮสติ้งที่คุณใช้อยู่
ค่าใช้จ่ายในการสร้างส่วนย่อย
การสร้างส่วนย่อยมักไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากโฮสติ้งหลัก แต่คุณอาจต้องจ่ายเพิ่มสำหรับSSL certificate หากต้องการความปลอดภัยสูงสุด
นอกจากนี้ หากคุณต้องการ dedicated IP สำหรับส่วนย่อย ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นตามความต้องการของเซิร์ฟเวอร์
- ตรวจสอบข้อจำกัดทางเทคนิคของโฮสติ้งที่คุณใช้
- คำนวณค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากต้องการ dedicated IP
- จัดการส่วนย่อยจำนวนมากอาจสร้างความยุ่งยากในการบำรุงรักษา
ตัวอย่างแพ็กเกจโฮสติ้งยอดนิยมในประเทศไทย เช่น IONOS ที่ให้บริการ SSL ฟรีสำหรับโดเมนหลักและส่วนย่อย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ก่อนตัดสินใจสร้างส่วนย่อย ควรประเมินความจำเป็นและความคุ้มค่าของการใช้งาน เพื่อให้การจัดการเว็บไซต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
การใช้ส่วนย่อยของเว็บไซต์ช่วยให้คุณจัดการเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น SSL certificate ที่ครอบคลุมทั้งส่วนหลักและส่วนย่อย จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
สำหรับผู้เริ่มต้น ควรตั้งชื่อส่วนย่อยให้สั้นและสื่อความหมายชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและใช้งาน นอกจากนี้ การบำรุงรักษาและตรวจสอบความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องไม่มองข้าม
หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานส่วนย่อยในระดับสูง สามารถติดตามบทความ进阶ที่เราจะนำเสนอในอนาคตได้ การจัดการที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย



