Theme หรือ “ธีม” คืออะไร ?
วันนี้ Beone จะมานำเสนอเกี่ยวกับเรื่องของ Theme Website ว่ามันคืออะไร
แล้วมันสำคัญอย่างไร เราไปทำความรู้จักกัน
ใน WordPress “ธีม” (Theme) หมายถึงชุดของไฟล์ที่ใช้กำหนดลักษณะ และ
รูปแบบของเว็บไซต์ของคุณ ธีมประกอบด้วยไฟล์เทมเพลต, ไฟล์สไตล์ชีต (CSS),
ไฟล์ภาพ และบางครั้งก็รวมถึงไฟล์ JavaScript และไฟล์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ธีมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิธีการแสดงผลของเนื้อหาเว็บไซต์ให้แก่ผู้เข้าชม
ธีมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ ผ่านหน้าจอการจัดการใน WordPress
โดยไม่กระทบกับเนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์ ธีมที่เลือกใช้จะส่งผลต่อการแสดงผลของ
โพสต์, หน้า, วิดเจ็ต และเมนูต่าง ๆ
ส่วนประกอบของ Theme ใน WordPress มีอะไรบ้าง
- ไฟล์เทมเพลต (Template Files)
ไฟล์เหล่านี้ใช้เพื่อกำหนดการจัดวางเนื้อหาในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์
เช่นheader.php
,footer.php
,index.php
,single.php
, และอื่น ๆ
สามารถ หาซื้อ Template สำเร็จรูปมาลงใน WordPress ได้เช่นกัน - สไตล์ชีต (CSS)
ไฟล์ CSS เป็นไฟล์หลักสำหรับการจัดรูปแบบหน้าตาของเว็บไซต์คือ
style.css
ซึ่งมักจะมีข้อมูลเกี่ยวกับธีมอยู่ด้วย เช่น ชื่อผู้สร้าง, รายละเอียด,
เวอร์ชัน เป็นต้น - ไฟล์ภาพ
รูปภาพต่าง ๆ ที่ใช้ในธีม เช่น โลโก้, พื้นหลัง, ไอคอน, เป็นต้น - ไฟล์ JavaScript
ใช้ในการเพิ่มฟังก์ชันการทำงานแบบไดนามิกให้กับเว็บไซต์
เช่น การเลื่อนภาพ, เมนูแบบดรอปดาวน์, และอื่น ๆ - ฟังก์ชันธีม (Theme Functions)
ไฟล์functions.php
ใช้สำหรับการเพิ่มฟังก์ชันและฟีเจอร์พิเศษให้กับธีม
เช่น การเพิ่มเมนูนำทาง, การลงทะเบียนวิดเจ็ต, การปรับแต่งหน้าจอผู้ใช้ เป็นต้น
การเลือก Theme ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของเรา
การเลือกธีมใน WordPress ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ควรพิจารณาเพื่อให้แน่ใจว่า
ธีมที่เลือกจะตอบสนองต่อความต้องการของเว็บไซต์และผู้ใช้งาน แล้วอะไรบ้างที่เราต้องคำนึงถึง
- ประเภทของเว็บไซต์
การเลือก ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจของเรา แต่ละประเภท ก็ใช้ต่างกัน เช่น
เว็บบล็อก, ร้านค้าออนไลน์, พอร์ตโฟลิโอ, เว็บไซต์ข่าว, หรือเว็บไซต์ธุรกิจ
เราควรเลือกธีมที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับประเภทเว็บไซต์ของคุณ - การเข้ากันกับปลั๊กอิน
ตรวจสอบว่าธีมรองรับปลั๊กอินที่คุณต้องการใช้ เช่น WooCommerce สำหรับร้านค้าออนไลน์,
Yoast SEO สำหรับการปรับแต่ง SEO, และ Contact Form 7 สำหรับแบบฟอร์มติดต่อ - ตัวเลือกการปรับแต่ง
เลือกธีมที่มีตัวเลือกการปรับแต่งที่หลากหลาย เช่น การเปลี่ยนสี, ฟอนต์, การจัดวางเนื้อหา และการปรับแต่งหน้าเว็บ - รองรับ Customizer
การมีตัวเลือกปรับแต่งผ่าน WordPress Customizer ทำให้การปรับแต่งธีมง่ายและสะดวก - การแสดงผลบนอุปกรณ์ต่าง ๆ
ธีมที่ดีควรตอบสนองได้ดีบนทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, หรือสมาร์ทโฟน
การทดสอบการแสดงผลบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วยให้แน่ใจว่าผู้เข้าชมจะได้รับประสบการณ์ที่ดี - ประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บ
ธีมควรออกแบบให้มีการโหลดหน้าเว็บที่รวดเร็ว เนื่องจากความเร็วในการโหลด
มีผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานและการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา และ SEO - ฟีเจอร์พิเศษ
เราต้องดูว่าธีมมีฟีเจอร์ที่คุณต้องการ เช่น การรองรับหลายภาษา (Multilingual),
การรวมไอคอนโซเชียลมีเดีย, หรือการแสดงภาพสไลด์ - Widget และ Layout Options
ธีมควรมีตัวเลือกการจัดวางที่หลากหลายและรองรับการใช้งาน Widget ได้ดี - มาตรฐานความปลอดภัย
ธีมควรได้รับการพัฒนาตามมาตรฐานความปลอดภัยของ WordPress และ
ควรมีการอัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเป็นประจำ
ประเภทของ Theme มีอยู่ได้กัน 3 แบบ
- Theme Free ( แบบใช้ฟรี )
เป็น ธีม สำเร็จรูปที่มีอยู่แล้วใน WordPress เอง เราสามารถที่จะเลือกและดาวโหลดมาใช้งานได้ทันที
แต่ข้อเสียเลย เราไม่สามารถออกแบบหน้าตามเว็บตามใจเราได้เอง เราทำได้แค่เพียงต่อตาม template
ที่เขาออกแบบเว็บไว้แล้ว - Theme Paid ( แบบเสียเงิน )
เป็น ธีม ที่เรามักจะเรียกกันว่า พรีเมี่ยมธีม (Premium Theme)
เราต้องทำการซื้อมา มีทั้งแบบสำเร็จรูป และ ก็แบบที่เราสามารถออกแบบเองได้ ซึ่งแต่ละ ธีม ก็จะมี
การจัดการต่างกันไป เราก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้แล้วทำการแก้ไข ตามธีมนั้น - Themes from Page Builder ( ธีมที่ออกแบบ โดยไม่ต้องใช้ Coding )
นอกจาก Theme Template ที่ให้ใช้ฟรี และ เสียเงินแล้ว ยังมีอีก 1 ตัวช่วยที่ทำให้เราจัดการเว็บไซต์
ของเราง่ายๆ ได้อีก นั่นก็คือทำผ่าน Page Builder นั่นเอง ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายค่ายให้เลือกใช้
อาทิเช่น Elementor, Brever Bulider, Divi, Brizy, Oxygen Builder เป็นต้น
นอกจากที่เราจะซื้อ Theme ผ่าน WordPress แล้ว ก็ยังมีอีกหลายที่ ที่สามารถซื้อได้อีก
ที่นิยมซื้อกันในประเทศไทยก็จะมี Envato, Themeforest การเลือกธีมที่เหมาะสม
เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและสวยงาม ธีมที่ดีจะช่วยให้
ผู้เข้าชมมีประสบการณ์ที่ดีและส่งเสริมให้เนื้อหาของเว็บไซต์โดดเด่น
วิธีการลง Theme ใน WordPress มี 2 วิธี
การติดตั้งผ่าน Dashboard
- เลือกที่ เมนู Appearance –> Theme ในหน้า Dashboard
- Add New Theme
- ค้นหา Theme ที่ต้องการในช่อง Search Theme…
- เลือก Theme ที่ต้องการติดตั้ง แล้วคลิก Install
- หลัง Install เสร็จ ให้กด Active เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
การติดตั้งด้วยการ Upload
- เลือกที่ เมนู Appearance –> Theme
- Add New Theme
- Upload Theme
- เลือกไฟล์ .zip ที่ดาวน์โหลดมาและคลิก Install Now
- หลังจากติดตั้งเสร็จ คลิก Activate
Theme แต่ละอันมีการจัดการที่ไม่เหมือนกัน ต้องใช้เวลาเรียนรู้วิธีใช้ ธีมนั้นๆ