ส่วนประกอบหลักของเว็บไซต์มีอยู่หลักๆด้วยกัน 3 ส่วน คือ
Domain Name คือชื่อโดนเมนหรือชื่อเว็บไซต์
ควรตั้งชื่อโดเมนให้ผู้ใช้งานหรือผู้เยี่ยมชมจดจำได้ง่าย หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อที่อ่านยาก , ยาว หรือใช้สัญลักษณ์ เช่น
- yourdomainhelloworld.com การตั้งชื่อที่ยาวทำให้จดจำยากและง่ายต่อการเข้าใจผิด
- yourdomain-hello-world.com การใช้สัญลักษณ์ทำให้เกิดความผิดพลาดเมื่อผู้ใช้พิมพ์ชื่อโดเมนเรา
ตั้งได้ทั้งภาษาไทย , ภาษาอังกฤษ เช่น
- beone.co.th , beonefriendship.com
- ไร่เพชรมาลัยกุล.com
เลือกได้ว่าเราจะใช้ “นามสกุล(Top-Level Domains)” ต่อท้ายด้วยอะไร
- .com – เป็น TLD ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ใช้สำหรับเว็บไซต์ทางพาณิชย์และธุรกิจ
- .co.th = commercial in thailand หมายถึง บริษัท หรือองค์กรที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย
- .org – ใช้สำหรับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือองค์กรที่มีเจตจำนงทางสังคม
- .net – ใช้สำหรับเน็ตเวิร์ค (Network) และบริการที่เกี่ยวข้องกับเน็ตเวิร์ค
- อื่นๆอีกมากมาย เช่น .xyz .io .blog .shop .me .info .biz …..
โดยปกติบุคคลทั่วไป หรือบริษัทจะไม่สามารถจดชื่อโดเมนเหล่านี้ได้
- .edu – ใช้สำหรับสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัย
- .gov – ใช้สำหรับเว็บไซต์ของรัฐบาล
- .mil – ใช้สำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ
ค่าใช้จ่ายสำหรับการจดชื่อโดเมน
- .com ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 400-500 บาท ต่อปี
- .co.th ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 800-1000 บาท ต่อปี
- .net ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 800-900 บาท ต่อปี
Hosting – โฮสหรือเซิฟเวอร์ สำหรับเก็บไฟล์และสร้างฐานข้อมูล
การเลือกบริการ hosting สำคัญอย่างมากสำหรับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณ เพราะมีผลต่อประสิทธิภาพ ความเสถียรภาพ และประสบการณ์ของผู้ใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้:
- ความเร็วในการโหลด: การเลือก hosting ที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น เนื่องจากการที่เซิร์ฟเวอร์มีประสิทธิภาพสามารถตอบสนองกับคำขอจากผู้ใช้งานได้เร็ว
- ความเสถียร: การใช้บริการ hosting ที่มีความเสถียรสูงช่วยให้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการตัดสินใจที่ไม่พึงประสงค์
- ความปลอดภัย: บริการ hosting ที่ดีมักมีระบบความปลอดภัยที่ดี เช่น การสำรองข้อมูล (backups), ระบบป้องกันการโจมตี DDoS, และการให้บริการ SSL/TLS สำหรับความปลอดภัยในการสื่อสาร
- การสนับสนุน: บริการ hosting ที่มีการสนับสนุนลูกค้าที่ดีสามารถช่วยแก้ไขปัญหาและการให้คำแนะนำในการดูแลเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์: บริการ hosting ที่มีเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยให้เว็บไซต์มีการทำงานได้ดีที่สุดและให้ประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน
- การเลือกฟีเจอร์เสริม: บริการ hosting ที่มีฟีเจอร์เสริม เช่น ระบบจัดการ DNS, การสำรองข้อมูลอัตโนมัติ, หรือบริการเสริมอื่น ๆ สามารถช่วยให้การดำเนินงานของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การเลือก hosting ที่เหมาะสมกับความต้องการและประสงค์ของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีและประสิทธิภาพที่สูง
ค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่าโฮส
ราคาของบริการ hosting ในประเทศไทยอาจแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการ ประเภทของ hosting และความสมบูรณ์ของแพ็กเกจที่คุณเลือก ราคาที่แสดงด้านล่างเป็นเพียงตัวอย่างและอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา:
- Shared Hosting:
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 100 – 500 บาทต่อเดือน
- แพ็กเกจที่มีความสมบูรณ์มากขึ้นอาจมีราคาประมาณ 300 – 1,000 บาทต่อเดือน
- VPS Hosting (Virtual Private Server):
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 500 – 2,000 บาทต่อเดือน
- ราคาอาจแตกต่างกันตามขนาดและความสามารถของ VPS
- Dedicated Server Hosting:
- ราคาเริ่มต้นประมาณ 3,000 – 10,000 บาทต่อเดือน
- ราคาอาจเพิ่มขึ้นตามความสามารถของเซิร์ฟเวอร์และความเร็วของระบบ
Web Page – ระบบสำหรับการทำเว็บไซต์ เช่น CMS , ERP
ระบบที่ไว้ทำหรับจัดทำเว็บไซต์มีหลากหลาย มีทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบที่พัฒนาขึ้นมาเอง ปัจจุบันระบบที่เป็นที่นิยมคือระบบ CMS (Content Management System) ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งและใช้งานได้อย่างง่ายโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค๊ด
CMS ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือ WordPress เป็น CMS ที่เป็น Open Source สามารถใช้งานได้ฟรีมีผู้พัฒนาและใช้งานทั่วทุกมุมโลก ใช้งานง่ายมี Plugin เสริมครอบคลุมกับความต้องการของการใช้งาน
WordPress เป็นระบบจัดการเนื้อหา (Content Management System หรือ CMS) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการสร้างและบริหารจัดการเว็บไซต์ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาแบบบล็อก (blog) และเว็บไซต์ทั่วไปที่มีการประกาศเนื้อหาต่าง ๆ ออกสู่สาธารณะได้ง่าย ๆ ผ่านอินเทอร์เฟซของ WordPress โดยไม่ต้องมีความรู้หรือทักษะการเขียนโค้ดมากนัก
WordPress มีความยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการสร้างเว็บไซต์ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ โดยรวมมีลักษณะเด่นดังนี้:
- ง่ายต่อการใช้งาน: WordPress มีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและเข้าใจได้ดี ทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเริ่มต้นใช้งานได้โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงลึกในการเขียนโปรแกรม
- รองรับปลั๊กอิน (Plugins): ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มความสามารถของ WordPress ด้วยปลั๊กอินต่าง ๆ ที่มีให้เลือกใช้งาน เช่น ปลั๊กอินสำหรับการเพิ่มฟังก์ชันพิเศษ เพิ่มความปลอดภัย เป็นต้น
- ธีม (Themes) ที่ปรับแต่งได้: มีธีมมากมายที่สามารถปรับแต่งดีไซน์ของเว็บไซต์ได้ตามต้องการ ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ที่มีลุคและประสบการณ์ของผู้ใช้งานต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย
- การเผยแพร่เนื้อหา: WordPress มีเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเผยแพร่เนื้อหาอย่างง่ายผ่านโพสต์ หรือเพจต่าง ๆ บนเว็บไซต์
- การจัดการเนื้อหา: ผู้ใช้งานสามารถจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ตามต้องการ เช่น การเพิ่ม แก้ไข หรือลบเนื้อหา
- ความปลอดภัย: มีการอัปเดตและป้องกันช่องโหว่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ WordPress มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี
WordPress นับเป็น CMS ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกและมีชุมชนผู้ใช้งานกว่า 75 ล้านคนทั่วโลก
Odoo เป็นระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ที่เปิดตัวเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส (open-source software) ที่ให้บริการในรูปแบบบนเว็บ (web-based) ซึ่งช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ของธุรกิจอย่างเชื่อถือได้ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ ซึ่งต้องการระบบ ERP ที่สามารถปรับเปลี่ยนและประสานงานได้ตามความต้องการของธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจทั้งภายในและภายนอกองค์กร
Odoo เน้นการให้บริการแบบ all-in-one ซึ่งหมายถึงระบบนี้มีโมดูลหลากหลายที่ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ เช่น บริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources), การจัดการคลังสินค้า (Inventory Management), การจัดการการผลิต (Manufacturing), การขายและการตลาด (Sales and Marketing), การบัญชีและการเงิน (Finance and Accounting), และฟังก์ชันอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
คุณสมบัติที่น่าสนใจของ Odoo ได้แก่:
- โมดูลและปรับแต่ง: Odoo มีโมดูลที่ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ และสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของธุรกิจ
- ง่ายต่อการใช้งาน: มีอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและเข้าใจได้ดี ทำให้ผู้ใช้สามารถนำเสนอและใช้งานโมดูลต่าง ๆ ได้โดยง่าย
- รองรับเว็บบราวเซอร์: Odoo เป็นระบบเว็บแอปพลิเคชัน (web application) ที่สามารถทำงานบนเว็บบราวเซอร์ทุกประเภท
- มีชุมชนที่ใหญ่: Odoo มีชุมชนผู้ใช้งานและนักพัฒนาที่ใหญ่ที่สนับสนุนการพัฒนาและการแก้ไขปัญหา
- การอัปเดตและปรับปรุง: Odoo มีการอัปเดตและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงและความต้องการใหม่ในการบริหารจัดการธุรกิจ
สรุป
เมื่อได้องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ ก็สามารถจัดทำเว็บไซต์ในรูปแบบต่างๆ ที่เราอยากนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นแสดงสินค้า , ขายสินค้าออนไลน์ , ระบบบริการต่างๆ เช่น ขายตั๋ว , เช่า , จอง , ฯลฯ ทั้งหมดนี้สามารถทำได้ด้วยการเริ่มต้นจากการทำเว็บไซต์นั่นเอง